คุณแม่ศรีมาตาจี นิรมลา เทวี เป็นทั้งคุณแม่และคุณยาย รวมถึงเป็น “คุณแม่ทางจิตวิญญาณ” ของสหจะโยคีทั่วโลก คุณแม่มีเชื้อสายราชวงศ์อินเดีย และบิดาของคุณแม่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอินเดียคนแรก คุณแม่มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับมหาตมะ คานธี
คุณแม่เป็นภรรยาของ Sir C.P Srivastava นักการทูตผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติด้านองค์การเดินเรือนานาชาติ คุณแม่เกิดในครอบครัวคริสเตียนที่อินเดีย เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1923
ในวันที่ 5 พฤษภาคม 1970 คุณแม่ได้เปิดจักระสหัสราระ (Sahasrara) ของมนุษยชาติ ทำให้ผู้ใดก็ตามที่มีความปรารถนาสามารถรับ การตื่นรู้ รู้จักตนเอง (Self-Realisation) โดยการปลุกพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในตัวเราที่เรียกว่า กุณฑาลินี หลังจากนั้นคุณแม่ได้เริ่มเผยแผ่การตื่นรู้นี้อย่างเป็นระบบโดยใช้เทคนิคสหจะโยคะที่คุณแม่พัฒนาขึ้นเอง
คุณแม่ไม่รับเงินค่าเสียเวลา ค่าความรู้ หรือการให้การตื่นรู้ คุณแม่ทำงานและเดินทางอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยมากกว่า 40 ปี เพื่อนำสหจะโยคะไปสู่ผู้แสวงหาจากทั่วโลก คุณแม่ได้รับการยกย่องจากผู้คนนับแสนในกว่า 130 ประเทศ ว่าเป็น “คุรุทางจิตวิญญาณที่มีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก"
คุณแม่ศรีมาตาจี นิรมลา เทวี เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1923 ที่เมืองชินด์วารา อินเดีย พ่อแม่คริสเตียนของคุณแม่ คือ Prasad และ Cornelia Salve ตั้งชื่อท่านว่า “นิรมลา” ซึ่งหมายถึง “บริสุทธิ์” บิดาของคุณแม่เป็นทนายและนักวิชาการผู้ชำนาญ 14 ภาษา แปลอัลกุรอานเป็นภาษาฮินดี ส่วนมารดาของคุณแม่เป็นผู้หญิงคนแรกของอินเดียที่จบปริญญาเกียรตินิยมด้านคณิตศาสตร์
พ่อแม่ของคุณแม่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในขบวนการอิสรภาพของอินเดีย และในวัยเด็กคุณแม่มักอยู่กับมหาตมะ คานธีที่อาศรม ในวัยสาวคุณแม่ก็เข้าร่วมขบวนการอิสรภาพและถูกจำคุกในปี 1942 เนื่องจากเข้าร่วมขบวนการ Quit India Movement คุณแม่ศึกษาแพทยศาสตร์ที่ Christian Medical College ใน Ludhiana และ Balakram Medical College ใน Lahore
ตั้งแต่ปี 1947–1970 คุณแม่ นิรมลา ศรีวาสตาวา (Nirmala Srivastava) ยืนหยัดต่อสู้กับอคติ ปกป้องผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สนับสนุนอาชีพของสามีผู้ทรงคุณวุฒิ ดูแลครอบครัว ทำการเพาะปลูก สนับสนุนวัฒนธรรมผ่านดนตรีและภาพยนตร์ สร้างศูนย์สหจะโยคะหลายแห่ง ทำงานการกุศล ปฏิบัติหน้าที่ในครอบครัว เลี้ยงดูลูกสาวสองคน เป็นภรรยาที่รัก เป็นพี่สาวที่คอยสนับสนุน และในที่สุดเป็นคุณยาย
ระหว่างนั้น คุณแม่ได้ศึกษาธรรมชาติของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง โดยมุ่งเน้นหาวิธีที่จะช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุด คุณแม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้เพียง ผ่านกระบวนการตื่นรู้ ซึ่งคือการปลุกพลังละเอียดอ่อนที่มีอยู่ในตัวทุกคน คุณแม่ได้สัมผัสประสบการณ์นี้ด้วยตนเองก่อนจะอุทิศชีวิตเพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่น
ในวันที่ 5 พฤษภาคม 1970 คุณแม่เริ่มงานทางจิตวิญญาณอย่างจริงจัง ในวัย 47 ปี คุณแม่ได้พัฒนาวิธีการให้การตื่นรู้ (ปลุกพลังกุณฑาลินี) แบบกลุ่มใหญ่ คุณแม่มุ่งหวังให้ผู้คนได้รับประสบการณ์จริงเพื่อเปลี่ยนแปลงและรักษาตนเอง ต่างจากคุรุหลายคนที่หาประโยชน์จากผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณ คุณแม่ปฏิเสธคุรุที่หลอกลวงและเตือนผู้คนมาโดยตลอด เกี่ยวกับการปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่ฉ้อฉลและทำร้ายผู้คน
ด้วยสามีของท่าน ได้เป็นเลขาธิการองค์การเดินเรือนานาชาติที่ลอนดอน คุณแม่จึงเริ่มงานทางจิตวิญญาณกับคนกลุ่มเล็ก ๆ ในสหราชอาณาจักร โดยบรรยายและให้ประสบการณ์ Self-Realisation คุณแม่ไม่เคยเรียกเก็บเงิน เพราะเชื่อว่าการปลุกพลังจิตวิญญาณเป็น สิทธิ์โดยกำเนิดของมนุษย์ คุณแม่ได้รับเกียรติยศชื่อ “ศรีมาตาจี” หรือ “แม่ผู้เป็นที่เคารพนับถือ” จากผู้คนรอบตัว ซึ่งยกย่องคุณธรรมและความเป็นมารดาทางจิตวิญญาณของคุณแม่
วิธีการทำสมาธิผ่าน Self-Realisation ที่คุณแม่พัฒนาขึ้นเรียกว่า สหจะโยคะ (Sahaja Yoga) คุณแม่เดินทางสอนในยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนืออย่างต่อเนื่องในปี 1980’s โดยสอนฟรีแก่ผู้สนใจ ในปี 1990’s การเดินทางขยายไปยังอเมริกาใต้ แอฟริกา ยุโรปตะวันออก เอเชีย และภูมิภาคแปซิฟิก
คุณแม่ได้รับรางวัลเกียรติยศและปริญญากิตติมศักดิ์จากสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลก ในปี 1995 คุณแม่ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่การประชุมโลกครั้งที่ 4 เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิง ที่ปักกิ่ง และในปี 1997 Claus Nobel กล่าวถึงการเสนอชื่อคุณแม่เข้ารับรางวัลโนเบลที่ Royal Albert Hall ลอนดอน ท่านเป็นผู้ที่ชื่นชมคุณแม่และสหจะโยคะมาก ท่านกล่าวว่าเป็น “แหล่งความหวังของมนุษยชาติ” และ “เป็นจุดอ้างอิงในการกำหนดว่าสิ่งใดถูกหรือผิด”
คุณแม่ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงผลกำไรหลายแห่ง รวมถึงบ้านสำหรับสตรีและเด็กยากจน โรงเรียนนานาชาติ ศูนย์วิจัยสุขภาพ และสถาบันสอนดนตรีและศิลปะ
คุณแม่ได้ฝากมรดกทางจิตวิญญาณไว้ ผ่านองค์กรเหล่านี้และศูนย์สหจะโยคะในกว่า 120 ประเทศ ที่ยังคงสอนฟรีเช่นเดิม
“ชีวิตของแม่ตอนนี้อุทิศเพื่อความเป็นอยู่และความเมตตาที่มีต่อมนุษยชาติอย่างสมบูรณ์”